แล้วพอย้ายมาเริ่มเรียน Legal English Plus ที่ Cambridge Law Studio แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง เหมือนที่คาดหวังไว้มั้ย พูดถึงทั้งการเรียนการสอนและสภาพแวดล้อม
ถ้าถามว่าได้อะไรเยอะมั้ยจากคอร์สสามอาทิตย์นี้ คงบอกว่าเยอะมาก แต่เหมือนที่คาดไว้หรือไม่ คงต้องบอกว่าแตกต่างครับ เพราะก่อนไปคาดหวังที่จะได้เรียนคำศัพท์เฉพาะทางทางกฎหมาย อย่างพวก Legalese กับ ศัพท์ละตินหรือ preposition ที่ใช้ในงานกฎหมาย แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่างานเขียนทางกฎหมายของอังกฤษได้ปฏิรูปให้เป็นแบบ Plain English มากว่า 15 ปีแล้ว
CLS มีอาจารย์เพียงสามท่าน ซึ่งจะวนสอนกันคนละวิชา คือ Contract Law, Business Law และ Writing ซึ่งจะสลับกันไปในแต่ละวัน ทุกๆวันจะมีการบ้านในหนังสือคำศัพท์ที่ต้องไปท่องและทำโจทย์ และจะมีสอบทุกวันศุกร์เพื่อประเมินผล เป็นระบบการเรียนที่มีประสิทธิภาพมาก ในสัปดาห์แรกจะเริ่มปูพื้นฐานให้ก่อนว่าโครงสร้างระบบกฎหมายที่อังกฤษเป็นอย่างไร แล้วการปฏิรูปภาษาอังกฤษในกฎหมายเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ทำให้เรารู้เป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียน ในอาทิตย์ที่สองจะเรียนเนื้อหาจริงๆ เช่น โครงสร้างของ Business ในอังกฤษเป็นอย่างไร หากจะตั้งธุรกิจมีขั้นตอนทางกฎหมายยังไงบ้าง ต้องจ่ายภาษีอะไรบ้าง มีโอกาสได้ฝึก Negotiation บ่อย โดยเล่นบทบาทสมมติเมื่อเราเป็นทนายของบริษัทมาเจรจาร่างสัญญา ส่วนในอาทิตย์สุดท้ายจะเป็นการทบทวน เพื่อเตรียมสอบ TOLES ในวันสุดท้าย และพาออกไปดูเคสที่ The Old Baileys ในลอนดอน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าวันนั้นจะเจอเคสอะไร
สิ่งที่ CLS สอนเน้นไปที่งานเขียนกฎหมายสมัยใหม่ การร่างสัญญา เป็นหลักสูตรที่เหมาะมากๆสำหรับ Practising Lawyer เพราะจะสามารถนำความรู้ที่เรียนไปใช้ได้จริง แต่ถ้าเป็นนักศึกษามาเรียนเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษด้านกฎหมาย คอร์สนี้อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก จุดเด่นอย่างนึงในคอร์สนี้คือเรื่องการสอนความแตกต่างระหว่างคำศัพท์สองคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันมากๆ แต่ในทางกฎหมายแล้วมีผลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจารย์จะสอนให้เราระวังว่าคำใดที่ไม่ควรเขียนลงไปในข้อสัญญา อย่างเช่น indemnify กับ compensate หรือ guarantee กับ warrantee ซึ่งมีคำพิพากษาในอดีตชี้ต่างของคำเหล่านี้ไว้แล้ว ถ้าหากเลือกคำผิดอาจจะทำให้บริษัทสูญเสียมหาศาลเลยก็ได้
สำหรับสภาพแวดล้อม CLS เลือกใช้สถานที่ที่ Girton College ของมหาลัย Cambridge ซึ่งห่างออกมาจากใจกลางเมืองประมาณ 15 นาที เป็น College เก่าแก่ที่สวยงามมากๆ หากจะเข้าเมืองก็มีรถบัสทุกๆ 20 นาที เนื่องจากช่วงที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ 8 อาทิตย์ ผมก็ได้ใช้โอกาสไปเที่ยวเมืองอื่นๆกว่า 10 เมือง แต่คงปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่า Cambridge เป็นเมืองที่ผมประทับใจที่สุดใน England ด้วยความที่เมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ ผู้คนเป็นมิตร บรรยากาศเหมาะแก่การเรียนมากๆ หลังเลิกเรียนสามารถไปเยี่ยมชม College ต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งเมืองได้ การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้เหมือนได้ย้อนกลับไปเดินอยู่ในห้วงประวัติศาสตร์ 800 กว่าปีของที่นี่ นับว่าเป็นเมืองที่มีสเน่ห์มากจริงๆ
สุดท้ายช่วยฝากถึงเพื่อนๆที่กำลังตันสินใจจะไปเรียนภาษาหน่อยทั้งแบบที่เป็นเรียนภาษาระยะสั้นเฉยๆและเรียนภาษาในแบบเฉพาะด้าน (ในที่นี้ น้องแซนด์เลือกไปเรียนภาษาระยะสั้นที่เกี่ยวกับทางด้านกฎหมาย) ว่าดีมั้ย คุ้มมั้ย อย่างไร aa
สำหรับเรื่องเรียนภาษาระยะสั้น ก่อนมาควรจะตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าอยากมาพัฒนาด้านไหนเป็นพิเศษ แล้วหาหลักสูตรที่ตรงกับที่ตัวเองต้องการ แต่ถ้าหากมีพื้นฐานดีพออยู่แล้ว แนะนำให้เรียนคอร์สเพื่อสอบไปเลยจะดีกว่า เพราะจะเข้มข้นและได้อะไรเยอะกว่ามาก ส่วน speaking ส่วนใหญ่ได้จากการคุยกับเพื่อน การออกไปเที่ยว และการได้นั่งคุยกับโฮส สำคัญที่สุดคือตัวเราเองต้องกระตือรือร้นที่จะฝึกพูด มีหลายๆคนบอกว่า เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในอังกฤษโดยที่ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษเลยก็เป็นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ดังนั้นเราต้องตั้งเป้าหมายกับตัวเองให้ดี
สำหรับคอร์สเฉพาะด้าน คิดว่ามีประโยชน์มากๆ แถมคนส่วนใหญ่ที่มาเลือกคอร์สแบบนี้จะมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีมาก ดีกว่าที่มาเรียนคอร์สภาษาระยะสั้น เวลาคุยกับพวกเขาจะทำให้ภาษาเราพัฒนาเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งเนื้อหาที่คุยกันจะลงลึกไปทางด้านที่เราสนใจ ทำให้เราฝึกคิดเฉพาะทางเป็นภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น ส่วนเรื่องเนื้อหาของคอร์สที่ผมเลือกถึงแม้จะไม่ได้ตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ตอนแรก แต่ได้รับความรู้และภาษาอังกฤษเดิมของผมก็พัฒนาขึ้นมากเพราะคอร์สนี้ คงต้องบอกว่าคุ้มครับ |